Friday, March 11, 2011

"มัลดีฟ" บินเดี่ยว......เปรี้ยวกว่าเยอะ




แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเกิดจากความไม่ตั้งใจ และปลายทางก็ไม่ใช่ดินแดนในฝันของดิฉันมาก่อนก็ตาม แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความทรงจำอันแสนหวาน ให้ได้เก็บไว้นึกถึงเกาะสวาทหาดสวรรค์แห่งนี้ที่ "มัลดีฟ"

หลังจากอกหักจากปารีส ดินแดนที่ดิฉันใฝ่ฝันที่จะได้เดินทางไปเพื่อชม Museum แหล่งรวบรวมงานศิลปะชิ้นสำคัญๆของโลกไว้หลายแขนง และหลายศิลปินระดับโลก สาเหตุเพราะวีซ่าไม่ผ่าน อาการอกหักนี้จึงต้องหาวิธีเยียวยาที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องวีซ่าไม่ผ่านให้เจ็บใจอีก นั่นก็คือไปเที่ยวประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า
อีกเหตุผลนึงที่ดิฉันชอบการไปเที่ยวทะเล คือการจัดกระเป๋าและการเตรียมตัวแทบไม่มีอะไรยุ่งยากเลย มีแค่ Sun tan, After Sunบิกินนี่ 4 ตัว ผ้านุ่งแห้งเร็ว แว่นกันแดด แว่นว่ายน้ำ กล้องถ่ายรูป กระเป๋าไม่หนักแถมมีพื้นที่พอจะใส่พู่กัน หลอดสีน้ำมัน กระดานแต้มสี แต่กระเป๋าที่มีใบนี้ไม่ใหญ่พอจะใส่เฟรมผ้าใบเข้าไปด้วย ดิฉันจึงต้องตัดใจจากกิจกรรมหลักที่ตั้งใจอยากจะทำออกไปและรอกลับมาวาดภาพสีน้ำมันจากภาพถ่ายแทน
สำหรับทริปต่างประเทศสำคัญที่สุดคือ Passport ส่วนเรื่องวีซ่าหากเป็นคนไทยด้วยแล้วไปมัลดีฟไม่ต้องใช้ค่ะ การผจญภัยได้เริ่มขึ้น.... ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เห็นคนอื่นเขาก็ปั้มประทับตราPassport และผ่านเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงคิวตัวเอง พนักงานผู้ชายมองหน้าและก้มมองดูตั๋ว ดิฉันนึกสงสัยในใจฉันทำอะไรผิดเหรอ? เกิดคำถามเปล่งเสียงออกมา.....
ไปมัลดีฟเหรอ? ตอบ"ค่ะ!”
มันอยู่ประเทศอะไร? "อยู่ศรีลังกาค่ะ! ลงสนามบินมาเล่ เมืองหลวงของศรีลังกาน่ะค่ะ"
ไปคนเดียว???? "ค่ะ”!!!!
.....เออ ผมเห็นในทีวีน่ะสวยมากเลยนะ ไม่รู้ของจริงจะสวยแบบในทีวีหรือเปล่า ถ่ายรูปมาฝากเยอะๆนะครับ
ดิฉันยิ้มหวานและตอบกลับไปทันที "แล้วจะถ่ายรูป กลับมาให้ดูเยอะๆนะคะ"
เที่ยวบิน....บินตรงสู่เมืองมาเล่ เมืองหลวงของประเทศศรีลังกา เมื่อไปถึงสนามบิน เข้าคิวตรวจเอกสารคนเข้าเมืองที่สนามบินนานาชาติมาเล่เรียบร้อย พนักงานชาวอินเดียจากClub Med Kaniชูป้ายต้อนรับพาเราลง Speed Boat อีก30 นาที เข้าสู่ Club Med ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของหมู่เกาะมัลดีฟ ด้วยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หมู่เกาะมัลดีฟประกอบไปด้วยเกาะเล็ก เกาะน้อย เป็นพันๆเกาะ แต่ละเกาะจะมีเพียงพื้นที่เล็กๆเพื่อสร้างรีสอร์ทได้เพียงรีสอร์ทเดียวและมีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก เราจึงมักเห็นห้องพักที่ต้องสร้างยื่นออกไปในทะเล กลายเป็นเอกลักษณ์รูปแบบรีสอร์ทของหมู่เกาะมัลดีฟ ใครที่เคยไปมัลดีฟอาจจะได้พักคนละเกาะกัน แต่ภายในอาณาเขตอันกว้างใหญ่แห่งหมู่เกาะมัลดีฟเดียวกัน
การเดินทางใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงจากเมืองไทย เวลาที่มาเล่ต่างกับกรุงเทพ 2ชั่วโมง ดิฉันปรับเวลาในมือถือ เพื่อให้ทราบเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อ ที่ีนี่มีพนักงานต้อนรับหลากหลายสัญชาติทั้ง จีน ญี่ปุ่น ไทย สเปน ฝรั่งเศสฯ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หากคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ไม่ต้องกังวลนะคะ มาเที่ยวมัลดีฟสบายใจได้ แต่สำหรับดิฉันแล้วไม่มีใครคิดว่าเป็นคนไทยเลย ...ก็ด้วยหน้าตาหมวยๆ ผิวขาว แถมเที่ยวคนเดียวอีก ทำให้ต้องกลายเป็นสาวญี่ปุ่นไปโดยปริยาย

กิจกรรมแรกในการเที่ยวของดิฉันคือการเดินค่ะ เดินไปทั่วๆ สำรวจพื้นที่รอบๆเกาะใช้เวลาทั้งหมดเพียง 15-20 นาทีเท่านั้นเอง พื้นที่เกาะเล็กมากแถมสะอาดปลอดภัย มีพนักงานใจดีพูดคุยทักทายตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนรับประทานอาหารแต่ละมื้อจะมีพนักงานที่นี่กลัวว่าเราจะเหงา ขอเข้ามานั่งทานอาหารเป็นเพื่อน พอเริ่มคุยกันสนิทมากขึ้น เร่ิมกล้าถามข้อสงสัยในใจ "ทำไมมาเที่ยวคนเดียวล่ะ อกหักเหรอ?" บ้างล่ะ "ทำไมไม่มากับแฟนล่ะ?” บ้างล่ะ คำตอบที่ทุกคนได้ไปเหมือนกันนั่นก็คือ...
"ชอบเที่ยวค่ะ /ชอบเที่ยวคนเดียวค่ะ/ รักอิสระชอบสันโดษค่ะ" (ไปๆมาๆพนักงานเขาคงจะประชุมกัน และลงความเห็นว่าอย่าไปกวนใจแม่สาวญี่ปุ่นนางนี้เลย เธอคงอยากอยู่คนเดียวจริงๆ) ทุกคนพร้อมหน้ากันหายไปหมดเลยค่ะ ปล่อยให้ดิฉันได้อยู่อย่างสงบสมใจอยาก






แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ตาม...ช่วงเวลาอาหารค่ำของค่ำคืนที่สอง หลังจากที่ฉันเหนื่อยล้าจากการเล่นกีฬาทางน้ำ กว่าจะมาถึงห้องอาหารก็ใกล้ถึงเวลาปิดซะแล้ว ด้วยความหิวและเหนื่อย จึงตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารจนไม่ได้สังเกตว่า มีหนุ่มตาน้ำข้าว ผิวสีแทน ผมหยักโศก รูปร่างสันทัดคนนึง กำลังเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารที่ฉันนั่งอยู่เพียงลำพัง และเอ่ยขึ้นว่า
"ผมมองหาคุณไปทั่วห้องอาหารตั้งแต่ตอนเย็น ถามพนักงานก็ไม่มีใครเห็นคุณ....
จนผมนึกว่าคุณจะไม่มาทานมื้อเย็นซะแล้ว"
ฉันได้แต่เงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัยว่าเรารู้จักกันเหรอ? แล้วก็นึกขึ้นได้! ฉันเห็นเขาแว๊บๆตอนไปหัดเล่นเรือใบ ฉันเชิญให้เขานั่งลง ต่างคนก็แนะนำชื่อของตัวเองและพูดคุยกันเรื่องทั่วๆไป แน่นอนเขาคิดว่าฉันเป็นสาวญี่ปุ่น คืนนั้นหลังมื้อเย็นฉันไม่ได้ไปนั่งฟังเพลงต่อที่ Barตามคำชวนเพราะความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าด้วยส่วนนึง เพราะไว้เชิงด้วยก็ส่วนนึง มีแอบเสียดายความหล่อบ้าง นิด นิด และคิดว่า...มันก็คงผ่านไปเพราะเราไม่มีข้อมูลหรืออะไรสามารถใช้ติดต่อกันได้เลยบนเกาะ แต่ ....ดิฉันคิดผิด!
 
วันรุ่งขึ้นดิฉันตื่นสายตามปกติ แถมยังสั่ง Break fast มาทานที่ห้องพักอีกต่างหาก กว่าจะขยับตัวทำกิจวัตรประจำวันก็เกือบๆเที่ยงวัน ที่นี่แดดแรงมาก แต่ลมก็แรงด้วยเช่นกัน ช่วยให้อากาศโดยรวมไม่ร้อน แต่อาจจะได้สัมผัสกับคำว่า "แก่แดด-แก่ลม" ได้ง่ายๆ วันแรกๆดิฉันใช้เวลาทั้งวันไปกับการดำผิวน้ำ เขามีเรือบริการพาเที่ยวรอบๆนอกของตัวเกาะ มีเรือออกวันละสองรอบคือช่วงเช้าและช่วงบ่าย (การดำน้ำที่นี่เหมาะกับการดำน้ำลึกเพื่อชมปลาใหญ่ กระเบนราหูฯ มากกว่าการดำผิวน้ำ) กิจกรรมช่วงวันที่สองวันที่สามดิฉันติดใจการล่องเรือใบลำเล็กมาก ยิ่งได้ขับเองยิ่งสนุก ที่นี่เขามีกีฬาทางน้ำให้เลือกเล่นทั้งพายเรือแคนนู เรือใบ วินเซริฟ เซริฟบอร์ด แต่ช่วงนั้นไม่มีครูสอนวินเซริฟดิฉันเลยอดเล่น ทุกอย่างฟรีค่ะ ฟรีตั้งแต่กิจกรรมทางน้ำทุกชนิด อาหารบุฟเฟ่นานาชาติทุกมื้อ เครื่องดื่มค็อกเทลที่บาร์ช่วงกลางคืน กาแฟน้ำส้มที่บาร์ริมหาดช่วงกลางวัน หากนำ้ดื่มที่มีให้บริการในห้องพักหมดก็ออกมาเติมได้ตามจุดบริการน้ำดื่ม เที่ยวได้สบายใจดีค่ะ เวลาที่เหลือหลังจากกิจกรรมทางน้ำของแต่ละวัน ดิฉันจะนอนอาบแดด เสียบหูฟังเพลงอ่านหนังสือ อยู่ตรงมุมสงบท้ายเกาะ


อ้อ! มาเล่าถึงหนุ่มตาน้ำข้าวกันต่อดีกว่านะคะ ดิฉันออกจากห้องพักเดินมุ่งตรงไปเพื่อเล่นเรือใบเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่วันนี้ฉันเห็นเขายืนเท้าสะเอวมองหน้าฉันมาแต่ไกลเชียว แถมพอเดินเข้าไปใกล้ๆเขาก็เริ่มเอ่ยปากบ่น
"ผมมารอคุณที่นี่ตั้งนาน...และเมื่อคืนผมก็นั่งรอคุณที่ Barจนปิด แต่คุณก็ไม่มา"
ฉันทำหน้ามึน งง นึกในใจฉันผิดเหรอ? เรานัดกันเหรอเนี่ย? แถมต่อว่าฉันอีกว่า
"ถ้าคุณจะไม่ไปตามนัด คุณควรจะบอกผมนะ"
เอ๊ย! เป็นเรื่องใหญ่เหรอเนี่ย? ฉันแปลกใจมากและตอบกลับไปว่า "ขอโทษค่ะ เมื่อวานฉันเหนื่อยมากก็เลยเผลอหลับไป"
หลังจากนั้นเราสองคนก็ติดกันเป็นปาท่องโก้ เขาอ้างว่ากลัวฉันจะหายตัวไปอีก ไม่อยากให้ฉันเดินไปไหนมาไหนคนเดียว เราสองคนใช้เวลาส่วนใหญ่ในการล่องเรือใบเล่น นอนอาบแดด เดินเล่นรอบเกาะบ้าง และนั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันทุกวัน บรรยากาศที่นี่โรแมนติกขึ้นมาไม่เบาเชียวค่ะ
ท้องทะเลใต้ถุนห้องพัก เป็นดั่งสระว่ายน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ น้ำใสแจ๋วเห็นทะลุถึงพื้นทรายใต้ทะเล และสามารถเห็นกระเบนราหูว่ายผ่านไปผ่านมาได้อย่างง่ายดาย บางคู่ที่มาฮันนีมูนกันใช้เวลาอยู่แต่ในห้องพักเล่าให้ฟังว่าเห็นกระเบนราหูว่ายผ่านตั้ง 8 ตัว แต่ดิฉันเห็นแค่ 2 ตัวเอง คงเพราะมัวแต่เอาเวลาไปเดินเที่ยวเล่นนอนอาบแดดอยู่อีกมุมนึงของเกาะ 
 
เมื่อถึงวันที่ต้องกลับเมืองไทย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราทั้งคู่จะเป็นยังไง เขานั่งเรือเร็วมาส่งฉันที่สนามบินมาเล่เรารำ่ลากันอย่างอ้อยอิ่ง ถามตัวเองว่าฉันจะละทิ้งความทรงจำดีดี ไว้ที่มัลดีฟหรือ?
คราวหน้าก็ไม่ต้องรอมีคนรัก ถึงจะเที่ยวมัลดีฟหรอกนะคะ ใครจะรู้....คู่ของคุณอาจจะรออยู่ที่นี่ก็ได้/.



3 comments:

  1. เขียนเรื่องได้น่าอ่านและลุ้นมากเลยค่ะ อยากรู้ต่อคู่พระนางนี่เป็นอย่างไร

    ReplyDelete
  2. มัลดีฟเป็นประเทศนะครับผม ส่วนศรีลังกาก็เป็นอีกประเทศหนึ่งครับ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณค่ะ และขอโทษค่ะที่ให้ข้อมูลผิดพลาด

      Delete