Friday, March 11, 2011

สตูลเมืองเล็กๆที่ถูกลืม เสน่ห์ประตูสู่ตะรุเตา


"สตูล เมืองเล็กๆที่ถูกลืม เสน่ห์ประตูสู่ตะรุเตา"

"ถามตัวเองว่านานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้ตื่นเช้าๆมาดูพระอาทิตย์ขึ้น?
คำตอบคือนานมากจนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และที่ไหน!"

เส้นทางจากอำเภอหาดใหญ่ตรงสู่จังหวัดสตูลสองข้างทางถนนมีเพียงสีเขียวเข้มสบายตา ซ้ายมือคือสวนยางพาราเรียงตัวเป็นระเบียบเรียบร้อยแนวยาวสูง ขวามือเป็นแนวสันเขาสันตาลาคีรีเขตแดนไทย-มาเลเซีย มองๆไปคล้ายกำแพงเมืองกั้นยาวตลอดแนว ด้วยภูมิอากาศทั้งปีมีเพียงฤดูร้อนและฤดูฝน หรือได้ยินกันบ่อยๆว่า "ฝนแปด-แดดสี่" ป่าไม้ที่นี่จึงเป็นภูมิประเทศแบบป่าดิบชื้นต้นไม้อุดมสมบูรณ์ พื้นที่ป่าที่นี่ยังเป็นบ้านของเงาะป่าชาวซาไกชนพื้นเมืองอีกด้วย
เมื่อเริ่มเห็นแหล่งชุมชน ตลาด และมัสยิด บ่งบอกว่าเราใกล้จะถึงตัวเมืองจังหวัดสตูลแล้ว บรรยากาศยามเย็นเต็มไปด้วยชาวมุสลิมทั้งในตลาดและบริเวณรอบๆมัสยิด ภาพผู้ชายนุ่งผ้าโสร่งใส่หมวกถักใบเล็กๆ ภาพผู้หญิงมีผ้าคลุมศีรษะหลากสีสันเดินขวักไขว่ทั่วทั้งตลาด เป็นภาพที่สร้างความแปลกตาและประทับใจดีแท้ แต่ภาพประทับใจนี้ยังไม่มากเท่ากับความประทับใจของความมีน้ำใจและความจริงใจของคนชาวสตูล
ดิฉันเลือกใช้วิธีการเดินเท้า เพื่อเที่ยวตัวเมืองสตูลและไม่น่าเชื่อว่าการเดินนี่เอง ที่ทำให้ดิฉันได้สัมผัสกับผู้คนชาวสตูลภายใต้ใบหน้าที่ดูเข้มขรึม ภายใต้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้านั้น น้ำใจช่างงดงาม เมื่อได้พูดคุยเพื่อถามทางบ้าง ซื้อของบ้าง ภาษาไทยสำเนียงใต้ที่พยายามบอกข้อมูล รอยยิ้ม แววตาแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความจริงใจ มันก็ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่ต้องห่วงว่าจะโดนหลอกในฐานะที่เราเป็นนักท่องเที่ยวหรือเป็นคนต่างถิ่น นี่จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมคนดีมีน้ำใจมักจะน่าคบกว่าคนเจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัว แต่คุณก็อย่าคิดว่าคนใต้จะน่ารักแบบนี้กันหมดล่ะ เพราะดิฉันเองก็ไม่ทราบ
เมื่อมาเยือนทะเลแดนใต้โดยเฉพาะทะเลฝั่งอ่าวไทย สิ่งที่ต้องนึกถึงเสมอนั่นคือ อาหารทะเล ที่สตูลก็เช่นกัน "ร้านน้องนี" ตั้งอยู่ในซอยตรงข้ามศาลจังหวัดสตูล ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ เจ้าของร้านจะแจ้งให้ทราบก่อนเลยว่า วันนี้มีอะไรสดๆส่งตรงมาจากทะเลบ้าง และสามารถทำเป็นเมนูอะไรบ้าง มื้อคำ่วันนี้ดิฉันเลือกหอยนางรมสดตัวขนาดฝ่ามือ หอยหลอดผัดฉ่าซึ่งเป็นหอยหลอดพันธุ์เฉพาะของป่าชายเลนที่สตูลเท่านั้น ขนาดเป็นสามเท่าของหอยหลอดที่เคยเห็นที่บางปะกง น่าเสียดายที่จำนวนคนไม่อำนวยต่อการสั่งอาหารหลายอย่าง จึงต้องตัดใจเมนูปลา ปู กุ้ง กั้ง ออกไปก่อน
อิ่มท้องจากมื้อเย็นจนต้องเข้าร้านขายยาถามหายาช่วยย่อยอาหาร ไม่งั้นดิฉันคงเดินต่อไม่ไหวเป็นแน่ เมื่ออาการดีขึ้นจึงออกเดินเล่นชมเมืองเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศย่ำค่ำของที่นีี่กันต่อ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งเมืองเหมือนถูกมนต์สะกดด้วยเสียงละหมาดจากมัสยิดกลางใจเมือง สร้างความรู้สึกสงบนิ่ง เยือกเย็นและเรียบง่ายอย่างบอกไม่ถูก ดิฉันจบวันนี้ด้วยการนั่งจิบเบียร์เย็นๆใกล้ที่พัก (คนมุสลิมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จึงแทบไม่มี Pub) เพื่อชมบรรยากาศของตลาดถนนคนเดิน หลังสามทุ่มเหมือนทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหว ถนนมีเพียงแสงไฟส่องทางแต่ไม่มีรถวิ่งแม้แต่คันเดียว เมื่อมองจากมุมด้านหน้าชั้นบนสุดของโรงแรม ส่วนด้านหลังของโรงแรมมีเพียงภูเขาสูงชันสลับทับซ้อนกันกับแม่น้ำสายเล็กๆไหลเป็นทางคดเคี้ยวเหมือนงูสีน้ำเงินเข้มกำลังเลื้อยช้าๆ
 
พระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับร้านน้ำชาโรตีแกงไก่ ดิฉันเลือกนั่งร้าน "ซาฮิปโรตี" อยู่บริเวณถนนตรงข้ามโรงแรมสินเกียรติธานี บรรยากาศร้านดูเก่าๆ มีโต๊ะนั่งไม่มากไม่น้อย ลูกค้าส่วนมากเป็นชายสูงอายุนั่งจิบน้ำชาพูดคุยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ดิฉันนั่งโต๊ะหน้าร้านติดถนน ยามเช้าแบบนี้ซึ่งไม่มีรถวิ่งเลยสักคัน สั่งกาแฟร้อนกับโรตีแกงไก่ เนื้อแป้งโรตีเหนียวนุ่มมาก ห่อไส้ไว้โดยแป้งไม่แตกแต่สามารถตัดแบ่งทานได้โดยง่าย เรียกได้ว่าความเหนียวและนุ่มของแป้งลงตัวมาก เสริฟแบบแยกน้ำแกงไก่ จะเลือกเทราดบนโรตีหรือจิ้มทานทีละคำก็อร่อยทั้งคู่ มีอาจาดเป็นเครื่องเคียง อร่อยจนเกือบลืมไปว่าต้องเดินทางต่อไปเกาะหลีเป๊ะหมู่่เกาะตะรุเตา
จากตัวเมืองสตูลว่ิงเข้าทางตำบลละงู ตรงไปท่าเรือปากบาราใช้เวลาประมาณ 20 นาที มี Speed Boat บริการทุกชั่วโมงแต่ถ้าอยากได้ลำใหญ่นั่งสบายหน่อย จะมีแค่เวลา 9.00. และ 11.30. จากฝั่งท่าเรือปากบาราถึงเกาะหลีเป๊ะใช้เวลาจริงๆประมาณ 1 ชั่วโมง แต่หากนักท่องเที่ยวเยอะก็จะมีแวะจอดรถเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตาและเกาะไข่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปที่ละประมาณ 15 นาที เนื่องจากไม่ใช่ช่วงเทศกาลวันหยุดของคนไทย ทั้งเรือจึงมีแต่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา รวมถึงบนเกาะหลีเป๊ะด้วย ซึ่งที่พักบนเกาะจะถูกแบ่งโซนหลักๆเป็น หาดพัทยา หาดซันไรซ์ หาดซันเซท ดิฉันเลือกหาดซันไรซ์ ซึ่งเป็นพื้นที่สงบเงียบและจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย ที่พักมีหลากหลายสภาพและหลากหลายราคาค่ะ มีตั้งแต่ 300-6,000 บาท หลักหมื่นก็มีหรือจะล่องเรือใบ เรือยอร์ชก็มีให้เลือกได้ตามฐานะค่ะ

บนเกาะหลีเป๊ะตรงกันข้ามกับตัวเมืองสตูลอย่างสิ้นเชิง ด้วยความเป็นเกาะกลางทะเลต้องใช้เวลาเดินทางไกล ของกินทุกอย่างจึงแพงมากโดยเฉพาะน้ำดื่ม ตัวอย่างเช่นน้ำดื่มบนฝั่งขวดเล็กขวดละ 7 บาท บนเกาะ 20 บาท อาหารไทยทุกอย่างรสชาติฝรั่งมากแม้กระทั่งข้าวไข่เจียว จึงควรแจ้งตอนสั่งอาหารว่าขอรสชาติคนไทยค่ะ หนักๆดิฉันทนไม่ไหวขออนุญาตเจ้าของร้านขอเข้าครัวทำกินเอง แต่ถ้าไม่เจอเจ้าของร้านใจดีจริงๆก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่านะคะ หรือไม่ก็สั่งพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ไปเลยจะดีกว่า อีกทางรอดนึงที่นี่มีร้านสะดวกซื้ออยู่หลายร้าน มาม่าคัพช่วยท่านได้
ในความแย่ของเรื่องอาหาร กลับพบสวรรค์ใต้ท้องทะเล ที่นี่มีบริการเรือหางยาวพาดำน้ำตามหมู่เกาะต่างๆ โดยใช้เวลา 1 วันเต็มๆ (Day Trip) ออกเดินทาง 9.00 . กลับมาอีกที 16.00 . คนละ 500-550 บาท คุณลุงเตี๊ยะผู้ดูแลรีสอร์ทที่ดิฉันพักแนะนำเรือของลูกเขยแกให้ แกบอกอยากจะตื่นกี่โมง เอาเรือออกกี่โมงให้มาเรียกแกแล้วกัน สบายๆเพราะเรือแกว่างอยู่ จะได้ไปแบบส่วนตัวไม่ต้องรวมกลุ่มกับใคร จะแวะอาบแดด นั่งเล่นหรือดำน้ำแต่ละเกาะเป็นเวลานานๆแค่ไหนก็ได้ คนละประมาณ 600 บาทเท่านั้นเองรวมเสื้อชูชีพกับหน้ากากให้ด้วย
ถามตัวเองว่านานแค่ไหนแล้ว ที่เคยตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นพื้นน้ำแบบนี้ คำตอบคือนานมากจนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ท้องฟ้าสีน้ำเงินแสดงถึงความเยือกเย็นของพระจันทร์ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนอมม่วงจากความร้อนแรงของแสงพระอาทิตย์ที่ละน้อยๆ และนี่คือนาฬิกาชีวิตบนโลกใบนี้ บ่งบอกถึงการเริ่มต้นวันใหม่ของสรรพสิ่งอย่างเท่าเทียมกัน
เกาะแต่ละที่บนหมู่เกาะตะรุเตา มีเนื้อทรายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแทบไม่เหมือนกันเลย เกาะหินงามทั้งเกาะไม่มีทรายเลยมีเพียงก้อนหินก้อนขนาดเท่ากำมือสีดำมนๆคล้ายหินแม่น้ำ บางเกาะเมื่อใช้ฝ่ามือกำทรายขึ้นมาแบมือออกเนื้อทรายกลับเหมือนดั่งเม็ดน้ำตาลทรายขนาดก้อนกรวดเป็นผลึกใส ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะเรียกว่าทรายดีหรือไม่ เกาะไข่มีเนื้อทรายคล้ายๆพริกเกลือที่ใช้จิ้มผลไม้เพราะมีเนื้อทรายสีขาวละเอียดผสมกับมีเม็ดสีส้มเล็กๆปนอยู่ด้วย เกาะอาดังราวีมีน้ำทะเลสีฟ้าใสอมเขียวเทอคอยซ์ เนื้อทรายเป็นเนื้อเปลือกหอยเล็กละเอียดรวมตัวกัน โลกใต้ท้องทะเลที่นี่มีหมู่ปลาการ์ตูน ปลาสีสันสดใสมากมาย แค่เดินลงน้ำไปไม่กี่เมตรหมู่ปลาตัวเล็กสีสรรสดใสก็มาว่ายวนรอบๆตัวคุณแล้ว บางตัวว่ายพุ่งตรงใส่หน้าเราแบบไม่กลัวเลย จนเราต้องว่ายหลบหลีกทางให้เพราะนี่คือโลกของเขา 
 

คนขับเรือลูกเขยลุงเตี๊ยะดูแลเราเป็นอย่างดี จุดไหนมีปะการังอ่อนและฝูงปลาเยอะๆแกจะชี้ให้ลงไปดู บางจุดถึงกับลอยลำเรือไว้กลางทะเล พอเห็นเราว่ายไปไม่ตรงจุดสวยๆ แกจะกระโดดลงน้ำไปชี้ให้ดูใกล้ๆกันเลย ด้วยความตั้งใจที่จะเราได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามของที่นี่ให้ได้มากที่สุด มีจุดนึงน้ำค่อนข้างลึกและมีเหวใต้ทะเลแต่เป็นที่อาศัยของปลาการ์ตูนหรือนีโม่ เพื่อนร่วมทริปของดิฉันด้วยความเป็นคนว่ายน้ำไม่เก่งนัก จึงไม่กล้าลงที่จุดนี้เพราะกลัวกระแสน้ำพัดไปไกล แต่ใจก็อยากเห็นปลานีโม่เล่าให้ฟังว่าพี่คนขับเรือหายไปแค่ครู่เดียว กลับขึ้นมาอีกทีพร้อมขวดน้ำใสในขวดมีปลานีโม่ นำมาให้ดูใกล้ๆบนเรือ สร้างความปลื้มใจให้เพื่อนดิฉันเป็นอย่างมาก แม้ใน Aquarium ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจะมีปลาแปลกๆมากมายให้เราดูได้ง่ายๆบ่อยๆแต่นั่นก็เป็นเพียงส่ิงปลูกสร้างจำลองขึ้นเพื่อให้ธรรมชาติยังอยู่กับเรา ความรู้สึกความประทับใจมันต่างกันลิบ เมื่อเราได้มาเห็นส่ิงที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้ให้เราตรงหน้าแบบนี้
ก่อนจบ Day tripการดำผิวน้ำเย็นวันนี้ นอกจากความงามของหาดทราย ท้องฟ้า น้ำทะเลสีใสแล้ว ความงามของน้ำจิตน้ำใจ ความน่ารักของพี่คนขับเรือลูกเขยลุงเตี๊ยะที่เกาะหลีเป๊ะ และความจริงใจของชาวสตูลจะยังประทับใจฉันไม่รู้ลืม


No comments:

Post a Comment