Friday, March 11, 2011

สตูลเมืองเล็กๆที่ถูกลืม เสน่ห์ประตูสู่ตะรุเตา


"สตูล เมืองเล็กๆที่ถูกลืม เสน่ห์ประตูสู่ตะรุเตา"

"ถามตัวเองว่านานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้ตื่นเช้าๆมาดูพระอาทิตย์ขึ้น?
คำตอบคือนานมากจนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ และที่ไหน!"

เส้นทางจากอำเภอหาดใหญ่ตรงสู่จังหวัดสตูลสองข้างทางถนนมีเพียงสีเขียวเข้มสบายตา ซ้ายมือคือสวนยางพาราเรียงตัวเป็นระเบียบเรียบร้อยแนวยาวสูง ขวามือเป็นแนวสันเขาสันตาลาคีรีเขตแดนไทย-มาเลเซีย มองๆไปคล้ายกำแพงเมืองกั้นยาวตลอดแนว ด้วยภูมิอากาศทั้งปีมีเพียงฤดูร้อนและฤดูฝน หรือได้ยินกันบ่อยๆว่า "ฝนแปด-แดดสี่" ป่าไม้ที่นี่จึงเป็นภูมิประเทศแบบป่าดิบชื้นต้นไม้อุดมสมบูรณ์ พื้นที่ป่าที่นี่ยังเป็นบ้านของเงาะป่าชาวซาไกชนพื้นเมืองอีกด้วย
เมื่อเริ่มเห็นแหล่งชุมชน ตลาด และมัสยิด บ่งบอกว่าเราใกล้จะถึงตัวเมืองจังหวัดสตูลแล้ว บรรยากาศยามเย็นเต็มไปด้วยชาวมุสลิมทั้งในตลาดและบริเวณรอบๆมัสยิด ภาพผู้ชายนุ่งผ้าโสร่งใส่หมวกถักใบเล็กๆ ภาพผู้หญิงมีผ้าคลุมศีรษะหลากสีสันเดินขวักไขว่ทั่วทั้งตลาด เป็นภาพที่สร้างความแปลกตาและประทับใจดีแท้ แต่ภาพประทับใจนี้ยังไม่มากเท่ากับความประทับใจของความมีน้ำใจและความจริงใจของคนชาวสตูล
ดิฉันเลือกใช้วิธีการเดินเท้า เพื่อเที่ยวตัวเมืองสตูลและไม่น่าเชื่อว่าการเดินนี่เอง ที่ทำให้ดิฉันได้สัมผัสกับผู้คนชาวสตูลภายใต้ใบหน้าที่ดูเข้มขรึม ภายใต้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้านั้น น้ำใจช่างงดงาม เมื่อได้พูดคุยเพื่อถามทางบ้าง ซื้อของบ้าง ภาษาไทยสำเนียงใต้ที่พยายามบอกข้อมูล รอยยิ้ม แววตาแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความจริงใจ มันก็ทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นสบายใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะไม่ต้องห่วงว่าจะโดนหลอกในฐานะที่เราเป็นนักท่องเที่ยวหรือเป็นคนต่างถิ่น นี่จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทำไมคนดีมีน้ำใจมักจะน่าคบกว่าคนเจ้าเล่ห์เห็นแก่ตัว แต่คุณก็อย่าคิดว่าคนใต้จะน่ารักแบบนี้กันหมดล่ะ เพราะดิฉันเองก็ไม่ทราบ
เมื่อมาเยือนทะเลแดนใต้โดยเฉพาะทะเลฝั่งอ่าวไทย สิ่งที่ต้องนึกถึงเสมอนั่นคือ อาหารทะเล ที่สตูลก็เช่นกัน "ร้านน้องนี" ตั้งอยู่ในซอยตรงข้ามศาลจังหวัดสตูล ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ เจ้าของร้านจะแจ้งให้ทราบก่อนเลยว่า วันนี้มีอะไรสดๆส่งตรงมาจากทะเลบ้าง และสามารถทำเป็นเมนูอะไรบ้าง มื้อคำ่วันนี้ดิฉันเลือกหอยนางรมสดตัวขนาดฝ่ามือ หอยหลอดผัดฉ่าซึ่งเป็นหอยหลอดพันธุ์เฉพาะของป่าชายเลนที่สตูลเท่านั้น ขนาดเป็นสามเท่าของหอยหลอดที่เคยเห็นที่บางปะกง น่าเสียดายที่จำนวนคนไม่อำนวยต่อการสั่งอาหารหลายอย่าง จึงต้องตัดใจเมนูปลา ปู กุ้ง กั้ง ออกไปก่อน
อิ่มท้องจากมื้อเย็นจนต้องเข้าร้านขายยาถามหายาช่วยย่อยอาหาร ไม่งั้นดิฉันคงเดินต่อไม่ไหวเป็นแน่ เมื่ออาการดีขึ้นจึงออกเดินเล่นชมเมืองเพื่อสัมผัสกับบรรยากาศย่ำค่ำของที่นีี่กันต่อ ไม่น่าเชื่อว่าทั้งเมืองเหมือนถูกมนต์สะกดด้วยเสียงละหมาดจากมัสยิดกลางใจเมือง สร้างความรู้สึกสงบนิ่ง เยือกเย็นและเรียบง่ายอย่างบอกไม่ถูก ดิฉันจบวันนี้ด้วยการนั่งจิบเบียร์เย็นๆใกล้ที่พัก (คนมุสลิมไม่ดื่มแอลกอฮอล์ จึงแทบไม่มี Pub) เพื่อชมบรรยากาศของตลาดถนนคนเดิน หลังสามทุ่มเหมือนทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหว ถนนมีเพียงแสงไฟส่องทางแต่ไม่มีรถวิ่งแม้แต่คันเดียว เมื่อมองจากมุมด้านหน้าชั้นบนสุดของโรงแรม ส่วนด้านหลังของโรงแรมมีเพียงภูเขาสูงชันสลับทับซ้อนกันกับแม่น้ำสายเล็กๆไหลเป็นทางคดเคี้ยวเหมือนงูสีน้ำเงินเข้มกำลังเลื้อยช้าๆ
 
พระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกับร้านน้ำชาโรตีแกงไก่ ดิฉันเลือกนั่งร้าน "ซาฮิปโรตี" อยู่บริเวณถนนตรงข้ามโรงแรมสินเกียรติธานี บรรยากาศร้านดูเก่าๆ มีโต๊ะนั่งไม่มากไม่น้อย ลูกค้าส่วนมากเป็นชายสูงอายุนั่งจิบน้ำชาพูดคุยกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ดิฉันนั่งโต๊ะหน้าร้านติดถนน ยามเช้าแบบนี้ซึ่งไม่มีรถวิ่งเลยสักคัน สั่งกาแฟร้อนกับโรตีแกงไก่ เนื้อแป้งโรตีเหนียวนุ่มมาก ห่อไส้ไว้โดยแป้งไม่แตกแต่สามารถตัดแบ่งทานได้โดยง่าย เรียกได้ว่าความเหนียวและนุ่มของแป้งลงตัวมาก เสริฟแบบแยกน้ำแกงไก่ จะเลือกเทราดบนโรตีหรือจิ้มทานทีละคำก็อร่อยทั้งคู่ มีอาจาดเป็นเครื่องเคียง อร่อยจนเกือบลืมไปว่าต้องเดินทางต่อไปเกาะหลีเป๊ะหมู่่เกาะตะรุเตา
จากตัวเมืองสตูลว่ิงเข้าทางตำบลละงู ตรงไปท่าเรือปากบาราใช้เวลาประมาณ 20 นาที มี Speed Boat บริการทุกชั่วโมงแต่ถ้าอยากได้ลำใหญ่นั่งสบายหน่อย จะมีแค่เวลา 9.00. และ 11.30. จากฝั่งท่าเรือปากบาราถึงเกาะหลีเป๊ะใช้เวลาจริงๆประมาณ 1 ชั่วโมง แต่หากนักท่องเที่ยวเยอะก็จะมีแวะจอดรถเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตาและเกาะไข่ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปที่ละประมาณ 15 นาที เนื่องจากไม่ใช่ช่วงเทศกาลวันหยุดของคนไทย ทั้งเรือจึงมีแต่ชาวต่างชาติโดยเฉพาะยุโรปและอเมริกา รวมถึงบนเกาะหลีเป๊ะด้วย ซึ่งที่พักบนเกาะจะถูกแบ่งโซนหลักๆเป็น หาดพัทยา หาดซันไรซ์ หาดซันเซท ดิฉันเลือกหาดซันไรซ์ ซึ่งเป็นพื้นที่สงบเงียบและจะได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย ที่พักมีหลากหลายสภาพและหลากหลายราคาค่ะ มีตั้งแต่ 300-6,000 บาท หลักหมื่นก็มีหรือจะล่องเรือใบ เรือยอร์ชก็มีให้เลือกได้ตามฐานะค่ะ

บนเกาะหลีเป๊ะตรงกันข้ามกับตัวเมืองสตูลอย่างสิ้นเชิง ด้วยความเป็นเกาะกลางทะเลต้องใช้เวลาเดินทางไกล ของกินทุกอย่างจึงแพงมากโดยเฉพาะน้ำดื่ม ตัวอย่างเช่นน้ำดื่มบนฝั่งขวดเล็กขวดละ 7 บาท บนเกาะ 20 บาท อาหารไทยทุกอย่างรสชาติฝรั่งมากแม้กระทั่งข้าวไข่เจียว จึงควรแจ้งตอนสั่งอาหารว่าขอรสชาติคนไทยค่ะ หนักๆดิฉันทนไม่ไหวขออนุญาตเจ้าของร้านขอเข้าครัวทำกินเอง แต่ถ้าไม่เจอเจ้าของร้านใจดีจริงๆก็อย่าเสี่ยงจะดีกว่านะคะ หรือไม่ก็สั่งพิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ไปเลยจะดีกว่า อีกทางรอดนึงที่นี่มีร้านสะดวกซื้ออยู่หลายร้าน มาม่าคัพช่วยท่านได้
ในความแย่ของเรื่องอาหาร กลับพบสวรรค์ใต้ท้องทะเล ที่นี่มีบริการเรือหางยาวพาดำน้ำตามหมู่เกาะต่างๆ โดยใช้เวลา 1 วันเต็มๆ (Day Trip) ออกเดินทาง 9.00 . กลับมาอีกที 16.00 . คนละ 500-550 บาท คุณลุงเตี๊ยะผู้ดูแลรีสอร์ทที่ดิฉันพักแนะนำเรือของลูกเขยแกให้ แกบอกอยากจะตื่นกี่โมง เอาเรือออกกี่โมงให้มาเรียกแกแล้วกัน สบายๆเพราะเรือแกว่างอยู่ จะได้ไปแบบส่วนตัวไม่ต้องรวมกลุ่มกับใคร จะแวะอาบแดด นั่งเล่นหรือดำน้ำแต่ละเกาะเป็นเวลานานๆแค่ไหนก็ได้ คนละประมาณ 600 บาทเท่านั้นเองรวมเสื้อชูชีพกับหน้ากากให้ด้วย
ถามตัวเองว่านานแค่ไหนแล้ว ที่เคยตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นพื้นน้ำแบบนี้ คำตอบคือนานมากจนจำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ท้องฟ้าสีน้ำเงินแสดงถึงความเยือกเย็นของพระจันทร์ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนอมม่วงจากความร้อนแรงของแสงพระอาทิตย์ที่ละน้อยๆ และนี่คือนาฬิกาชีวิตบนโลกใบนี้ บ่งบอกถึงการเริ่มต้นวันใหม่ของสรรพสิ่งอย่างเท่าเทียมกัน
เกาะแต่ละที่บนหมู่เกาะตะรุเตา มีเนื้อทรายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแทบไม่เหมือนกันเลย เกาะหินงามทั้งเกาะไม่มีทรายเลยมีเพียงก้อนหินก้อนขนาดเท่ากำมือสีดำมนๆคล้ายหินแม่น้ำ บางเกาะเมื่อใช้ฝ่ามือกำทรายขึ้นมาแบมือออกเนื้อทรายกลับเหมือนดั่งเม็ดน้ำตาลทรายขนาดก้อนกรวดเป็นผลึกใส ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะเรียกว่าทรายดีหรือไม่ เกาะไข่มีเนื้อทรายคล้ายๆพริกเกลือที่ใช้จิ้มผลไม้เพราะมีเนื้อทรายสีขาวละเอียดผสมกับมีเม็ดสีส้มเล็กๆปนอยู่ด้วย เกาะอาดังราวีมีน้ำทะเลสีฟ้าใสอมเขียวเทอคอยซ์ เนื้อทรายเป็นเนื้อเปลือกหอยเล็กละเอียดรวมตัวกัน โลกใต้ท้องทะเลที่นี่มีหมู่ปลาการ์ตูน ปลาสีสันสดใสมากมาย แค่เดินลงน้ำไปไม่กี่เมตรหมู่ปลาตัวเล็กสีสรรสดใสก็มาว่ายวนรอบๆตัวคุณแล้ว บางตัวว่ายพุ่งตรงใส่หน้าเราแบบไม่กลัวเลย จนเราต้องว่ายหลบหลีกทางให้เพราะนี่คือโลกของเขา 
 

คนขับเรือลูกเขยลุงเตี๊ยะดูแลเราเป็นอย่างดี จุดไหนมีปะการังอ่อนและฝูงปลาเยอะๆแกจะชี้ให้ลงไปดู บางจุดถึงกับลอยลำเรือไว้กลางทะเล พอเห็นเราว่ายไปไม่ตรงจุดสวยๆ แกจะกระโดดลงน้ำไปชี้ให้ดูใกล้ๆกันเลย ด้วยความตั้งใจที่จะเราได้เห็นธรรมชาติที่สวยงามของที่นี่ให้ได้มากที่สุด มีจุดนึงน้ำค่อนข้างลึกและมีเหวใต้ทะเลแต่เป็นที่อาศัยของปลาการ์ตูนหรือนีโม่ เพื่อนร่วมทริปของดิฉันด้วยความเป็นคนว่ายน้ำไม่เก่งนัก จึงไม่กล้าลงที่จุดนี้เพราะกลัวกระแสน้ำพัดไปไกล แต่ใจก็อยากเห็นปลานีโม่เล่าให้ฟังว่าพี่คนขับเรือหายไปแค่ครู่เดียว กลับขึ้นมาอีกทีพร้อมขวดน้ำใสในขวดมีปลานีโม่ นำมาให้ดูใกล้ๆบนเรือ สร้างความปลื้มใจให้เพื่อนดิฉันเป็นอย่างมาก แม้ใน Aquarium ตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจะมีปลาแปลกๆมากมายให้เราดูได้ง่ายๆบ่อยๆแต่นั่นก็เป็นเพียงส่ิงปลูกสร้างจำลองขึ้นเพื่อให้ธรรมชาติยังอยู่กับเรา ความรู้สึกความประทับใจมันต่างกันลิบ เมื่อเราได้มาเห็นส่ิงที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้ให้เราตรงหน้าแบบนี้
ก่อนจบ Day tripการดำผิวน้ำเย็นวันนี้ นอกจากความงามของหาดทราย ท้องฟ้า น้ำทะเลสีใสแล้ว ความงามของน้ำจิตน้ำใจ ความน่ารักของพี่คนขับเรือลูกเขยลุงเตี๊ยะที่เกาะหลีเป๊ะ และความจริงใจของชาวสตูลจะยังประทับใจฉันไม่รู้ลืม


"มัลดีฟ" บินเดี่ยว......เปรี้ยวกว่าเยอะ




แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะเกิดจากความไม่ตั้งใจ และปลายทางก็ไม่ใช่ดินแดนในฝันของดิฉันมาก่อนก็ตาม แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นความทรงจำอันแสนหวาน ให้ได้เก็บไว้นึกถึงเกาะสวาทหาดสวรรค์แห่งนี้ที่ "มัลดีฟ"

หลังจากอกหักจากปารีส ดินแดนที่ดิฉันใฝ่ฝันที่จะได้เดินทางไปเพื่อชม Museum แหล่งรวบรวมงานศิลปะชิ้นสำคัญๆของโลกไว้หลายแขนง และหลายศิลปินระดับโลก สาเหตุเพราะวีซ่าไม่ผ่าน อาการอกหักนี้จึงต้องหาวิธีเยียวยาที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องวีซ่าไม่ผ่านให้เจ็บใจอีก นั่นก็คือไปเที่ยวประเทศที่ไม่ต้องขอวีซ่า
อีกเหตุผลนึงที่ดิฉันชอบการไปเที่ยวทะเล คือการจัดกระเป๋าและการเตรียมตัวแทบไม่มีอะไรยุ่งยากเลย มีแค่ Sun tan, After Sunบิกินนี่ 4 ตัว ผ้านุ่งแห้งเร็ว แว่นกันแดด แว่นว่ายน้ำ กล้องถ่ายรูป กระเป๋าไม่หนักแถมมีพื้นที่พอจะใส่พู่กัน หลอดสีน้ำมัน กระดานแต้มสี แต่กระเป๋าที่มีใบนี้ไม่ใหญ่พอจะใส่เฟรมผ้าใบเข้าไปด้วย ดิฉันจึงต้องตัดใจจากกิจกรรมหลักที่ตั้งใจอยากจะทำออกไปและรอกลับมาวาดภาพสีน้ำมันจากภาพถ่ายแทน
สำหรับทริปต่างประเทศสำคัญที่สุดคือ Passport ส่วนเรื่องวีซ่าหากเป็นคนไทยด้วยแล้วไปมัลดีฟไม่ต้องใช้ค่ะ การผจญภัยได้เริ่มขึ้น.... ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เห็นคนอื่นเขาก็ปั้มประทับตราPassport และผ่านเข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงคิวตัวเอง พนักงานผู้ชายมองหน้าและก้มมองดูตั๋ว ดิฉันนึกสงสัยในใจฉันทำอะไรผิดเหรอ? เกิดคำถามเปล่งเสียงออกมา.....
ไปมัลดีฟเหรอ? ตอบ"ค่ะ!”
มันอยู่ประเทศอะไร? "อยู่ศรีลังกาค่ะ! ลงสนามบินมาเล่ เมืองหลวงของศรีลังกาน่ะค่ะ"
ไปคนเดียว???? "ค่ะ”!!!!
.....เออ ผมเห็นในทีวีน่ะสวยมากเลยนะ ไม่รู้ของจริงจะสวยแบบในทีวีหรือเปล่า ถ่ายรูปมาฝากเยอะๆนะครับ
ดิฉันยิ้มหวานและตอบกลับไปทันที "แล้วจะถ่ายรูป กลับมาให้ดูเยอะๆนะคะ"
เที่ยวบิน....บินตรงสู่เมืองมาเล่ เมืองหลวงของประเทศศรีลังกา เมื่อไปถึงสนามบิน เข้าคิวตรวจเอกสารคนเข้าเมืองที่สนามบินนานาชาติมาเล่เรียบร้อย พนักงานชาวอินเดียจากClub Med Kaniชูป้ายต้อนรับพาเราลง Speed Boat อีก30 นาที เข้าสู่ Club Med ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของหมู่เกาะมัลดีฟ ด้วยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หมู่เกาะมัลดีฟประกอบไปด้วยเกาะเล็ก เกาะน้อย เป็นพันๆเกาะ แต่ละเกาะจะมีเพียงพื้นที่เล็กๆเพื่อสร้างรีสอร์ทได้เพียงรีสอร์ทเดียวและมีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่มากนัก เราจึงมักเห็นห้องพักที่ต้องสร้างยื่นออกไปในทะเล กลายเป็นเอกลักษณ์รูปแบบรีสอร์ทของหมู่เกาะมัลดีฟ ใครที่เคยไปมัลดีฟอาจจะได้พักคนละเกาะกัน แต่ภายในอาณาเขตอันกว้างใหญ่แห่งหมู่เกาะมัลดีฟเดียวกัน
การเดินทางใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมงจากเมืองไทย เวลาที่มาเล่ต่างกับกรุงเทพ 2ชั่วโมง ดิฉันปรับเวลาในมือถือ เพื่อให้ทราบเวลารับประทานอาหารแต่ละมื้อ ที่ีนี่มีพนักงานต้อนรับหลากหลายสัญชาติทั้ง จีน ญี่ปุ่น ไทย สเปน ฝรั่งเศสฯ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หากคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ไม่ต้องกังวลนะคะ มาเที่ยวมัลดีฟสบายใจได้ แต่สำหรับดิฉันแล้วไม่มีใครคิดว่าเป็นคนไทยเลย ...ก็ด้วยหน้าตาหมวยๆ ผิวขาว แถมเที่ยวคนเดียวอีก ทำให้ต้องกลายเป็นสาวญี่ปุ่นไปโดยปริยาย

กิจกรรมแรกในการเที่ยวของดิฉันคือการเดินค่ะ เดินไปทั่วๆ สำรวจพื้นที่รอบๆเกาะใช้เวลาทั้งหมดเพียง 15-20 นาทีเท่านั้นเอง พื้นที่เกาะเล็กมากแถมสะอาดปลอดภัย มีพนักงานใจดีพูดคุยทักทายตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนรับประทานอาหารแต่ละมื้อจะมีพนักงานที่นี่กลัวว่าเราจะเหงา ขอเข้ามานั่งทานอาหารเป็นเพื่อน พอเริ่มคุยกันสนิทมากขึ้น เร่ิมกล้าถามข้อสงสัยในใจ "ทำไมมาเที่ยวคนเดียวล่ะ อกหักเหรอ?" บ้างล่ะ "ทำไมไม่มากับแฟนล่ะ?” บ้างล่ะ คำตอบที่ทุกคนได้ไปเหมือนกันนั่นก็คือ...
"ชอบเที่ยวค่ะ /ชอบเที่ยวคนเดียวค่ะ/ รักอิสระชอบสันโดษค่ะ" (ไปๆมาๆพนักงานเขาคงจะประชุมกัน และลงความเห็นว่าอย่าไปกวนใจแม่สาวญี่ปุ่นนางนี้เลย เธอคงอยากอยู่คนเดียวจริงๆ) ทุกคนพร้อมหน้ากันหายไปหมดเลยค่ะ ปล่อยให้ดิฉันได้อยู่อย่างสงบสมใจอยาก






แต่ถึงกระนั้นแล้วก็ตาม...ช่วงเวลาอาหารค่ำของค่ำคืนที่สอง หลังจากที่ฉันเหนื่อยล้าจากการเล่นกีฬาทางน้ำ กว่าจะมาถึงห้องอาหารก็ใกล้ถึงเวลาปิดซะแล้ว ด้วยความหิวและเหนื่อย จึงตั้งหน้าตั้งตารับประทานอาหารจนไม่ได้สังเกตว่า มีหนุ่มตาน้ำข้าว ผิวสีแทน ผมหยักโศก รูปร่างสันทัดคนนึง กำลังเดินเข้ามาที่โต๊ะอาหารที่ฉันนั่งอยู่เพียงลำพัง และเอ่ยขึ้นว่า
"ผมมองหาคุณไปทั่วห้องอาหารตั้งแต่ตอนเย็น ถามพนักงานก็ไม่มีใครเห็นคุณ....
จนผมนึกว่าคุณจะไม่มาทานมื้อเย็นซะแล้ว"
ฉันได้แต่เงยหน้ามองเขาด้วยความสงสัยว่าเรารู้จักกันเหรอ? แล้วก็นึกขึ้นได้! ฉันเห็นเขาแว๊บๆตอนไปหัดเล่นเรือใบ ฉันเชิญให้เขานั่งลง ต่างคนก็แนะนำชื่อของตัวเองและพูดคุยกันเรื่องทั่วๆไป แน่นอนเขาคิดว่าฉันเป็นสาวญี่ปุ่น คืนนั้นหลังมื้อเย็นฉันไม่ได้ไปนั่งฟังเพลงต่อที่ Barตามคำชวนเพราะความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าด้วยส่วนนึง เพราะไว้เชิงด้วยก็ส่วนนึง มีแอบเสียดายความหล่อบ้าง นิด นิด และคิดว่า...มันก็คงผ่านไปเพราะเราไม่มีข้อมูลหรืออะไรสามารถใช้ติดต่อกันได้เลยบนเกาะ แต่ ....ดิฉันคิดผิด!
 
วันรุ่งขึ้นดิฉันตื่นสายตามปกติ แถมยังสั่ง Break fast มาทานที่ห้องพักอีกต่างหาก กว่าจะขยับตัวทำกิจวัตรประจำวันก็เกือบๆเที่ยงวัน ที่นี่แดดแรงมาก แต่ลมก็แรงด้วยเช่นกัน ช่วยให้อากาศโดยรวมไม่ร้อน แต่อาจจะได้สัมผัสกับคำว่า "แก่แดด-แก่ลม" ได้ง่ายๆ วันแรกๆดิฉันใช้เวลาทั้งวันไปกับการดำผิวน้ำ เขามีเรือบริการพาเที่ยวรอบๆนอกของตัวเกาะ มีเรือออกวันละสองรอบคือช่วงเช้าและช่วงบ่าย (การดำน้ำที่นี่เหมาะกับการดำน้ำลึกเพื่อชมปลาใหญ่ กระเบนราหูฯ มากกว่าการดำผิวน้ำ) กิจกรรมช่วงวันที่สองวันที่สามดิฉันติดใจการล่องเรือใบลำเล็กมาก ยิ่งได้ขับเองยิ่งสนุก ที่นี่เขามีกีฬาทางน้ำให้เลือกเล่นทั้งพายเรือแคนนู เรือใบ วินเซริฟ เซริฟบอร์ด แต่ช่วงนั้นไม่มีครูสอนวินเซริฟดิฉันเลยอดเล่น ทุกอย่างฟรีค่ะ ฟรีตั้งแต่กิจกรรมทางน้ำทุกชนิด อาหารบุฟเฟ่นานาชาติทุกมื้อ เครื่องดื่มค็อกเทลที่บาร์ช่วงกลางคืน กาแฟน้ำส้มที่บาร์ริมหาดช่วงกลางวัน หากนำ้ดื่มที่มีให้บริการในห้องพักหมดก็ออกมาเติมได้ตามจุดบริการน้ำดื่ม เที่ยวได้สบายใจดีค่ะ เวลาที่เหลือหลังจากกิจกรรมทางน้ำของแต่ละวัน ดิฉันจะนอนอาบแดด เสียบหูฟังเพลงอ่านหนังสือ อยู่ตรงมุมสงบท้ายเกาะ


อ้อ! มาเล่าถึงหนุ่มตาน้ำข้าวกันต่อดีกว่านะคะ ดิฉันออกจากห้องพักเดินมุ่งตรงไปเพื่อเล่นเรือใบเหมือนทุกวันที่ผ่านมา แต่วันนี้ฉันเห็นเขายืนเท้าสะเอวมองหน้าฉันมาแต่ไกลเชียว แถมพอเดินเข้าไปใกล้ๆเขาก็เริ่มเอ่ยปากบ่น
"ผมมารอคุณที่นี่ตั้งนาน...และเมื่อคืนผมก็นั่งรอคุณที่ Barจนปิด แต่คุณก็ไม่มา"
ฉันทำหน้ามึน งง นึกในใจฉันผิดเหรอ? เรานัดกันเหรอเนี่ย? แถมต่อว่าฉันอีกว่า
"ถ้าคุณจะไม่ไปตามนัด คุณควรจะบอกผมนะ"
เอ๊ย! เป็นเรื่องใหญ่เหรอเนี่ย? ฉันแปลกใจมากและตอบกลับไปว่า "ขอโทษค่ะ เมื่อวานฉันเหนื่อยมากก็เลยเผลอหลับไป"
หลังจากนั้นเราสองคนก็ติดกันเป็นปาท่องโก้ เขาอ้างว่ากลัวฉันจะหายตัวไปอีก ไม่อยากให้ฉันเดินไปไหนมาไหนคนเดียว เราสองคนใช้เวลาส่วนใหญ่ในการล่องเรือใบเล่น นอนอาบแดด เดินเล่นรอบเกาะบ้าง และนั่งดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันทุกวัน บรรยากาศที่นี่โรแมนติกขึ้นมาไม่เบาเชียวค่ะ
ท้องทะเลใต้ถุนห้องพัก เป็นดั่งสระว่ายน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่ น้ำใสแจ๋วเห็นทะลุถึงพื้นทรายใต้ทะเล และสามารถเห็นกระเบนราหูว่ายผ่านไปผ่านมาได้อย่างง่ายดาย บางคู่ที่มาฮันนีมูนกันใช้เวลาอยู่แต่ในห้องพักเล่าให้ฟังว่าเห็นกระเบนราหูว่ายผ่านตั้ง 8 ตัว แต่ดิฉันเห็นแค่ 2 ตัวเอง คงเพราะมัวแต่เอาเวลาไปเดินเที่ยวเล่นนอนอาบแดดอยู่อีกมุมนึงของเกาะ 
 
เมื่อถึงวันที่ต้องกลับเมืองไทย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเราทั้งคู่จะเป็นยังไง เขานั่งเรือเร็วมาส่งฉันที่สนามบินมาเล่เรารำ่ลากันอย่างอ้อยอิ่ง ถามตัวเองว่าฉันจะละทิ้งความทรงจำดีดี ไว้ที่มัลดีฟหรือ?
คราวหน้าก็ไม่ต้องรอมีคนรัก ถึงจะเที่ยวมัลดีฟหรอกนะคะ ใครจะรู้....คู่ของคุณอาจจะรออยู่ที่นี่ก็ได้/.